วันพฤหัสบดีที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2556

โรงเรียนสอนแต่งหน้าที่อเมริกา MUD Make-up Designory ภาค 1

นานแล้วนะเนี่ยที่ไม่ได้เขียน Blog มีน้องมาถามในเฟสบุ๊คเกี่ยวกับรายละเอียดของโรงเรียนสอนแต่งหน้า MUD หรือชื่อเต็มๆ Make-up Designory เลยกะว่าไหนๆก้ต้องพิมพ์กันยาวเหยียดแล้ว เอามาแชร์ในบล็อคเลยละกัน คนอื่นๆจะได้ได้ประโยชน์ด้วยเนอะ

เริ่มจากอะไรก่อนดีหล่ะ อ่ะเอาเวปเค้าไปก่อนละกันเผื่ออยากเปิดดูรูปภาพ รู้หล่ะว่าขี้เกียจจะอ่านไอ้เจ้าภาษาอังกฤษยาวยืดที่เค้าเขียนไว้ เอาเป็นว่าเอาไว้ดูรูปประกอบละกันนะ

โอเค...แล้วไรต่อดีหล่ะคะ เอาว่าเค้ามี class อะไรให้เรียนบ้างดีกว่า
เค้ามีทั้งหมด 5 classes นะคะ
Beauty 101 : Fundamentals of Beauty Make-up
คลาสนี้ก็จะเรียนพื้นฐานการแต่งหน้าทั้งหมด ใช้เวลา 6 อาทิตย์ คลาสนี้เป็นคลาสบังคับนะคะ ใครจะเรียนตัวอื่นๆต้องผ่านคลาสนี้ก่อน
Beauty 201 : Studio Hairstying for Make-up Artist
คลาสนี้สอนทำผมค่ะ ไม่มีการตัด ซอย ทำสีอะไรอย่างนั้นนะคะ สอนตกแต่งทรงผมอย่างเดียวเท่านั้น เพราะเค้าเชื่อว่าในยุคเศรษฐกิจแบบนี้ไม่มีใครจ้างช่างสองคนแล้วค่ะ เค้าอยากได้ช่างในราคา 2 in 1 คือแต่งหน้า-ทำผมได้ทั้งสองอย่างเลย แบบผมที่สอนก็จะมีตั้งแต่ม้วนแบต่างๆ ยีผม ผมแฟชั่น แบบผมทุกยุคตั้งแต่ 1920's ถึง ปัจจุบันค่ะ สอนให้รู้จักหวีและแปรงทุกชนิด ผลิตภัณฑ์ตกแต่งทรงผมทุกรูปแบบ ใช้เวลาเรียน 3 อาทิตย์ค่ะ
Beauty 301 : Beauty Lab
คลาสนี้เป็นคลาสธุรกิจค่ะ โดยส่วนตัวเป็นคลาสที่ชอบมากๆใช้ประโยชน์ได้มากหลังจากเรียนจบ คลาสนี้สอนตั้งแต่การตั้งราคาค่าบริการ การสมัครงาน สัมภาษณ์งาน สร้างportfolio สร้างwebsite ทำนามบัตร ติดต่อเข้าสังกัด Agency คือประมาณว่าเรียนจบมาปุ๊บมีทุกอย่างพร้อมเสนองานให้ลูกค้าดูปั๊บ แถมมีช่างกล้องและนางแบบจริงๆมาให้ฝึกเพื่อให้ได้รู้ว่าทำงานถ่ายแฟชั่นจริงๆเค้าทำกันยังไง ตรงไหนควรยืนไม่ควรยืน ต้องเติมต้องแต่ง ต้องคอยดูข้อผิดพลาดตรงไหน คลาสนี้ก็ใช้เวลา 3 อาทิตย์
Special Make-up Effect 201
คลาสนี้มันส์สุด ไม่ต้องคิดว่าจะได้สวยเล้ย เรียนแต่งหน้า Character คือมีติดหนวด ทำหัวล้าน ทำให้แก่ ทำให้น่าเกลียด แผลชนิดต่างๆ สัตว์ประหลาดเอเลี่ยนทั้งหลาย สนุกสุดๆ เพิ่มจินตนาการของเราด้วย ได้ลองออกแบบเอง สร้างผลงานเอง คลาสนี้ก็ใช้เวลา 6 อาทิตย์
และคลาสสุดท้าย LAB Technique
อันนี้หาเรียนยาก เพราะเป็นคลาสที่สอนเราป้้นหล่อชิ้นงาน prosthetic ที่เราใช้ในการแต่งหน้า special effect หล่อชิ้นส่วนจากซิลิโคน, Latex, เจลาติน โหด หินสุดๆ งานหนักมาก ต้องใช้ความพยายามและความตั้งใจมาก ใช้เวลาเรียน 6 อาทิตย์


เรียนจบครบ 5 คลาสนี้ก้จะจบหลักสูตร MASTER MAKE-UP ARTISTRY ของ Make-up Designory ค่ะ

โอ่ย...พิมพ์เหนื่อย ไม่ได้พิมพ์ภาษาไทยมานานไว้ต่อภาค 2 นะคะ

วันศุกร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2556

รู้รึป่าวจ๊ะว่า Primer ที่ซื้อๆตามเค้ามา เอาไว้ใช้ทำอะไร

ตอนนี้สาวๆฮิตกันเหลือเกิน ใครๆก็แห่ไปซื้อ Primer มาใช้กันทั้งน้านนน
จะมีซักกี่สาวน้าาาที่รู้ว่าเจ้า Primer เนี่ย มีประโยชน์ยังไงกันแน่

Primer เป็นครีม, โลชั่น, เจล หรือซีรั่ม ที่ทาลงบนผิวหน้าก่อนที่จะแต่งหน้าเพื่อให้เครื่องสำอางค์ติดดีขึ้นและก็อยู่บนหน้าเราได้นานขึ้น Primer แต่ละยี่ห้อ แต่ละชนิดก็ใช้งานต่างๆกัน บางอย่างก็เป็น moisturizer ให้ความชุ่มชื่นกับผิว บางอย่างก็มีกรด salicylic acid เพื่อลดความมันของใบหน้า

หน้าที่หลักๆของเจ้า Primer นี่ก็คือทำให้ผิวหน้าเรียบเนียนขึ้น เปรียบเสมือนกับการที่เราจะวาดรูประบายสีเราก็ควรที่จะมีผืนผ้าใบที่เรียบเนียน เพื่อที่จะได้แต่งแต้มสีสันได้เต็มที่และเป็นไปได้ตามความตั้งใจของเรา

นอกจาก Primer จะให้ความชุ่มชื้นหรือลดความมันแล้ว ส่วนผสมหลักๆของ Primer คือ Silicone เจ้านี่หล่ะที่ทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้นเพราะมันจะไปเติมเต็มริ้วรอยเล็กๆ (ขอย้ำว่าเล็กๆเท่านั้น ตีนไก่ตีนกาคงจะปิดไม่มิด) รูขุมขนที่กว้างก็จะถูกเติมเต็มกลบด้วยเจ้า silicone นี่แหละ คล้ายๆกับว่าเราเคลือบฟิล์มบางๆไว้ทั่วไปหน้าก่อนที่เราจะทำการแต่งหน้า

คราวนี้ก็จะทำให้รู้ว่าหลังจากลง Primer แล้วกรุณาอย่าโบ๊ะหน้าตามทันที ควรทิ้งระยะเวลาให้ Primer ทำงานซักหน่อยก่อนที่จะลงมือแต่งหน้านะจ๊ะ เพื่อให้ได้ประโยชน์จากการใช้ Primer ได้อย่างเต็มที่

ต่อมาเราก็จะมาพูดถึง Eye  Shadow Primer กัน เป็น primer ที่ทำเฉพาะสำหรับการใช้งานใกล้ตา ช่วยปรับพื้นผิวบริเวณเปลือกตาให้เรียบเนียน ลดความมันของเปลือกตา เพื่อไม่ให้ eye shadow ไปกองรวมกันที่รอยพับของเปลือกตา แถมทำให้สีติดทนนานอีกด้วย 2 แบรนด์ฮิต ก็คือ Urban Decay Primer Potion และ Two Faced Shadow Insurance

Primer บางแบรนด์ก็ผสมสีรองพื้นมาด้วยเพื่อช่วยปรับสีผิวบริเวณใบหน้าให้ดูสม่ำเสมอเท่ากันทั้งหน้า

เอาหล่ะหวังว่าสาวๆคงได้รู้จักเจ้าหนู Primer กันมากขึ้นนะคะ ลองหาที่ใช้แล้วเหมาะกับสภาพผิวของตัวเองดูนะคะ สัญญาว่าถ้าได้ลองรู้จัก Primer นี่แล้วหล่ะก็ มันจะกลายเป็นเพื่อนรักติดกระเป๋าเครื่องสำอางค์แน่นอนค่ะ

วันพุธที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2556

บ๊าย บาย คิ้วโก่ง

วันนี้ขอเมาท์เรื่องคิ้วเทรนใหม่มาแรงในช่วงนี้หน่อยนะคะ ถ้าคุณสาวๆได้มีโอกาสดูละคร ดู Runway show อ่าน magazine หรือแม้กระทั่ง ติดตามสื่อ entertainment ต่างๆแล้วหล่ะก็ จะเห็นได้ชัดเลยว่าเทรนการแต่งรูปคิ้วได้เปลี่ยนไปแล้วนะคะ

ตอนนี้คิ้วเต็มๆ หนาๆ กำลังมาแรงค่ะ เพราะเชื่อว่าคิ้วที่ค่อนข้างตรง ไม่โก่ง โชว์ความเต็มและหนาของขนคิ้ว เป็นคิ้วที่ทำให้เราดูอ่อนวัยลงค่ะ ใครๆก็อยากจะกระชากวัยกันทั้งน้านนนน เพราะฉะนั้นเตรียมตัว ไว้ขนคิ้วบอกลาความโก่ง (และแก่) กันได้แล้วค่ะ

มาหาวิธีการแก้คิ้วที่เคยถอนหรือโกนกันไว้จนโก่งสุดชีวิตกันเถอะค่ะ

สาวๆที่มีคิ้วตรงอยู่แล้ว สบายใจได้ค่ะ ปล่อยไว้อย่างนั้น ไม่ต้องไปพยายามเพิ่มความโก่งให้มัน เดี๋ยวจะดูเหมือนคิ้วแหว่งๆไม่ได้รูป

ส่วนสาวไหนทีมีคิ้วธรรมชาติที่ค่อนข้างโก่งอยู่แล้ว ก็ลงระดับความโก่งลงมานะคะ โดยการหาเส้นล่างสุดของคิ้วที่จะทำให้คิ้วดูโก่งน้อยลง วิธีการก็คือหันหน้ามองตรงๆหากระจก เอาด้ามปากกาหรือพู่กันวัดจากขอบปีกจมูก ขึ้นไปหาขอบตาดำ (ไม่ใช่ขอบตานะคะ) จุดที่ด้ามปากกาแตะคิ้ว จะเป็นเส้นคิ้วที่ต่ำที่สุดค่ะ ขนเส้นไหนต่ำกว่านั้นหล่ะก็กำจัดออกได้เลยค่ะ

หากเราวางด้ามปากกาขนานกับขอบปีกจมูกไปจนแตะที่คิ้ว ก็จะได้จุดเริ่มของหัวคิ้วที่ได้รูปสวยงามค่ะ และถ้าหากคุณๆทาบปากกาจากปีกจมูกไปถึงหางตา จุดที่แต่คิ้วก็จะเป็นจุดสิ้นสุดของหางคิ้วค่ะ

ส่วนการเขียนคิ้ว สีดำเป็นสีที่ No-No ค่ะ ห้ามใช้เด็ดขาด คนที่จะใช้สีดำเขียนคิ้วได้ต้องมีเส้นผมที่ดำขลับจริงๆ หรือว่าต้องการลุคนั้นจริงๆ นอกจากนั้นอย่าลองเลยค่ะ เดี๋ยวหาว่าไม่เตือน

คนที่ถนัดใช้ดินสอเขียนคิ้ว เราไม่ลากเส้นยาวๆเป็นปื้นๆนะคะ ใช้ stroke เส้นเล็กๆไล่ไปเรื่อยๆค่ะ จะทำให้คิ้วดูสมจริงมากขึ้นนะคะ คนที่คิ้วหนาเข้มอยู่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องเขียนคิ้วเลยค่ะ แค่หวีด้วยแปรงหวีคิ้ว แล้วทาclear gel ทับเพื่อให้คิ้วอยู่ทรง แค่นี้ก็พอแล้วค่ะ

หวังว่าเทรนคิ้งหนา ตรงและเต็มจะช่วยให้คุณสาวๆดูเอ๊าะลงนะคะ



วันอังคารที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2556

เรียนแต่งหน้าที่ไหนดีหล่ะ

โห...บล็อคแรกในชีวิต เขียนอะไรดีหล่ะ
ว่าจะเขียนว่าทำไมถึงเลือกอาชีพ Make-Up Artist ก็เคยเขียนมาแล้ว
ตามหาดูได้จาก https://www.facebook.com/anna.chacha.5/info เอาก็แล้วกันเนอะ
เอาเป็นว่าจะเขียนเรื่อง ทำไมถึงเลือกไปเรียนที่ MUD (Make-Up Designory) ก็แล้วกันนะ

หลังจากที่ตัดสินใจแล้วว่าจะมุ่งหน้าล่าความฝันตัวเอง ก็เริ่มปฏิบัติการ search หาที่เรียนใน California ว่ามีที่ไหนเค้าว่าเจ๋งๆกันมั่ง หาไปหามาก็สรุปได้ว่ามี 3 โรงเรียนที่ได้รับการยอมรับจาก Entertainment industry (อย่าหาว่ากระแดะใช้ภาษาอังกฤษนะ ถือว่าฝึกๆไว้เนอะ เผื่อในอนาคตจะได้ใช้งานบ้าง)  มีรายชื่อดังนี้
1. Make-Up designory (MUD)
2. Cinema Make-Up School (CMS)
3. Joe Blasco

ก็ทำตามแบบฉบับของคนที่เมกาเลยคือ "ทัวร์โรงเรียน" คือเข้าไปนั่งคุยกับเค้า ถามรายละเอียดเกี่ยวกัยคอร์สต่างๆ ค่าเรียน การชำระค่าเรียน นู้นนี่นู้นนี่ รวมถึงคำถามค้างคาใจต่างๆ เค้ามีแผนกสำหรับพาทัวร์โรงเรียนโดยเฉพาะ หลังจากที่คุย คุย คุย กันเสร็จแล้วก็เดินดูโรงเรียนค่ะ ดูตั้งแต่ห้องเรียนแรกจนถึงห้องสุดท้าย ทั้งสามโรงเรียนมีสตูดิโอถ่ายภาพ เพื่อให้เราดูผลงานของเราว่าออกมายังไง ดีมั๊ย แก้ไขตรงไหน แล้วก็จะอธิบายว่าคุณครูของเราเป็นใคร ประสบการณ์มากน้อยแค่ไหน รับรางวัลอะไรมาแล้วบ้าง
พาไปดูโรงอาหาร ห้องสมุด ห้องคอมพิวเตอร์ (อย่าจินตนาการว่าโรงเรียนใหญ่นะคะ แต่ละห้องเล็กมาก) คิดเอาเองนะว่าค่าเช่าในแอลเอมันแพงมาก ถ้าทำใหญ่ๆคงจะแพงน่าดู)

ที่แรกที่ไปทัวร์คือ Joe Blasco ค่ะ เป็นตึก 2 ห้อง 2 ชั้น เข้าไปคุยที่ office ดูดีมากค่ะ แต่พอเริ่มเดินทัวร์ รู้สึกว่าแออัดมาก ต้องเดินเข้าห้องนู้นเพื่อที่จะทะลุไปห้องนี้ ดูมึนๆ พอขึ้นไปชั้นสองก็มีสตูดิโอสำหรับนักเรียนแล้วก็มี theater เล็กๆอยู่ แต่ก็ไม่รู้มีไว้ทำไม โรงเรียนสอนแต่งหน้านะ ไม่ใช่ Theatrical School แต่ก็ดูเก๋ดี สรุปรวมๆว่า So-So ค่ะ ไม่ประทับใจเท่าไหร่

แล้วก็ไปทัวร์ที่ CMS ต่อ โรงเรียนตั้งอยู่ในเมือง (Korean Town) หาที่จอดรถย๊าก ยาก แต่อยู่ใกล้สถานีรถไปใต้ดิน อยู่ในตึกเก่า (แต่สวย) ขึ้นลิฟท์ไป โรงเรียนกินพื้นที่ 1 ชั้นของตึก ตกแต่งได้ติสท์มาก มี showroom เล็กๆแสดงผลงานนักเรียน โรงเรียนออกมืดๆหน่อย ผนังปูนดิบ เล็กมาก แต่คนสอนที่นี้ฝีมือระดับพระกาฬทั้งนั้น มีทั้ง ออสการ์ เอมมี่ เป็นตัวการันตีว่าคนสอนเจ๋งขนาดไหน แต่...ไม่การันตีว่าคนดังเหล่านี้จะมาสอนได้ทุกวันรึเปล่า เลยงงๆว่าตกลงกรูจะได้เรียนกะ Ve Neill มั๊ยเนี่ย เค้าจะว่างสอนป่ะเนี่ย ทัวร์โรงเรียนเสร็จก็ไปนั่งคุยกะครูใหญ่ เค้าก็อธิบายเรื่องค่าเรียน อะไรอย่างเนี๊ย ฟังๆแล้วก็โอเค เพราะลืมบอกไปว่า ค่าเรียนทั้งสามโรงเรียนพอๆกันแหละ Joe Blasco ถูกสุด ส่วน CMS กะ MUD ราคาพอๆกันต่างกันไม่เท่าไหร่
สรุปว่าชอบอ่ะ ติสท์ดี แต่หาที่จอดรถยาก(สำคัญนะยะ) สถานที่เล็กและคับแคบไปหน่อย แสงในโรงเรียนดูมึนๆทึมๆ (ไม่ชอบที่มืดอ่ะ) แต่ก็ชอบแหละ ชอบมากกว่า Joe Blasco เยอะ

วันรุ่งขึ้นก็บึ่งไปดูที่ MUD โห คนละเรื่องเลย สถานที่ใหญ่โตกว่าสองร.ร.แรกเยอะ ดูเป็นระเบียบไม่วุ่นวาย มีshop ของตัวเอง คนพาทัวร์แบบว่า professional มากๆ ที่สำคัญ ทางร.ร.ช่วยจัดแจงหาทุนกู้ยืมค่าเล่าเรียนให้ทั้งหมด คือไปเรียนแบบไม่ต้องเสียตังค์ (แต่ต้องใช้คืนนะจ๊ะ ดอกเบี้ยถูก ระยะเวลาผ่อนนาน) คือเรียกว่าช่วยเต็มที่ พาเข้าไปดูทุกซอกทุกมุม พาเข้าไปในห้องเรียนที่มีการเรียนการสอนจริง ให้ดูบรรยากาศการเรียนจริงๆ ห้อง special effect lab ก็ใหญ่กว่าที่อื่น เป็นระเบียบ ชั่วโมงเรียต่อ class ก็เยอะกว่าที่อื่น มี career service คอยช่วยนร.หางานทำ สรุปว่าเอาที่นี่แหละ ดีเลย ถูกใจ

เออ ลืมบอกไปว่าทั้งสามโรงเรียนเค้ามีนโยบายประมาณเดียวกันคือ ถ้าเรียนจบไปแล้ว อยากกลับมาเรียนทบทวนอีกกี่รอบก็ได้ตลอดชีวิต เผื่อเรียนไปนานๆแล้วไม่ได้ใช้ อาจมีหลงๆลืมๆ ก็ขอเข้าไป audit หรือ sit in ได้เลย เป็นนโยบายที่ดีมากๆเลย

เออ ลืมบอกไปอีกอย่างคือ MUD มีสาขาที่ Burbank กะ New York แถมได้ส่วนลด 40% จาก shop ของ MUD ตลอดชีพด้วยจ้า

นี่ก็เป็นเรี่องราวคร่าวๆเกี่ยวกับการเลือกโรงเรียน
แต่นี่เป็นความเห็นส่วนบุคคลนะ ใครเรียนที่ไหนก็ดีทั้งนั้นแหละถ้าตั้งใจเรียนแล้วเอาความรู้ไปประยุกต์ใช้ ส่วนใครที่ไม่ได้ไปโรงเรียนก็ไม่ต้องเสียอกเสียใจเสียดายอะไร เพราะว่าช่างแต่งหน้าระดับแนวหน้าที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่เค้า self-taught (ไม่ได้ไปโรงเรียน แต่เรียนรู้ สั่งสมประสบการณ์ด้วยตัวเอง) กันทั้งนั้นแหละค่าาาา

ลิงค์ข้างล่างเป็นลิงค์ของทั้งสามโรงเรียนนะจ๊ะ เผื่ออยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติม

http://joeblasco.com/blascoschools/index.htm

http://mud.edu/


http://www.cinemamakeup.com/